❖ รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการบูรณาการ (integration) ❖
รูปแบบการเรียนการสอนในหมวดนี้
เป็นรูปแบบที่พยายามพัฒนาการเรียนรู้ด้านต่างๆ ของผู้เรียนไปพร้อมๆ กัน
โดยใช้การบูรณาการทั้งทางด้านเนื้อหาสาระและวิธีการ
รูปแบบในลักษณะนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก
เพราะมีความสอดคล้องกับหลักทฤษฎีทางการศึกษาที่มุ่งเน้นการพัฒนารอบด้าน
หรือการพัฒนาเป็นองค์รวม รูปแบบในลักษณะดังกล่าวที่นำมาเสนอมี 4 รูปแบบ ดังนี้
1. รูปแบบการเรียนการสอนทางตรง
2. รูปแบบการเรียนการสอนโดยการสร้างเรื่อง
3. รูปแบบการเรียนการสอนตามวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT
4. รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
1.
รูปแบบการเรียนการสอนของรูปแบบทางตรง(Direct
Instruction Model)
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
จอยส์และวีล (Joyce
and Weil, 1996: 334) อ้างว่า
มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อยที่ชี้ให้เห็นว่า การสอนโดยมุ่งเน้นให้ความรู้ที่ลึกซึ้ง
ช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกว่า มีบทบาทในการเรียน
ทำให้ผู้เรียนมีความตั้งใจในการเรียนรู้และช่วยให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียน
การเรียนการสอน โดยจัดสาระและวิธีการให้ผู้เรียนอย่างดีทั้ง ทางด้านเนื้อหาความรู้
และการให้ผู้เรียนใช้เวลาเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนนี้มุ่งช่วยให้ได้เรียนรู้ทั้งเนื้อหาสาระและมโนทัศน์ต่างๆ
รวมทั้งได้ฝึกปฏิบัติทักษะต่างๆ จนสามารถทาได้ดีและประสบผลสำเร็จได้ในเวลาที่จากัด
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 ขั้นนำ
1.1
ผู้สอนแจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรียนและระดับการเรียนรู้หรือพฤติกรรมการเรียนรู้ที่คาดหวังแก่ผู้เรียน
1.2 ผู้สอนชี้แจงสาระของบทเรียน
และความสัมพันธ์กับความรู้และประสบการณ์เดิมอย่างคร่าวๆ
1.3 ผู้สอนชี้แจงกระบวนการเรียนรู้
และหน้าที่รับผิดชอบของผู้เรียนใน แต่ละขั้นตอน
ขั้นที่ 2 ขั้นนำเสนอบทเรียน
2.1 หากเป็นการนาเสนอเนื้อหาสาระ ข้อความรู้ หรือมโนทัศน์
ผู้สอนควรกลั่นกรองและสกัดคุณสมบัติเฉพาะของมโนทัศน์เหล่านั้น
และนำเสนออย่างชัดเจนพร้อมทั้งอธิบายและยกตัวอย่างประกอบให้ผู้เรียนเข้าใจ
ต่อไปจึงสรุปคานิยามของมโนทัศน์เหล่านั้น
2.2 ตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ก่อน
ให้ผู้เรียนลงมือฝึกปฏิบัติ หากผู้เรียนยังไม่เข้าใจ
ต้องสอนซ่อมเสริมให้เข้าใจก่อน
ขั้นที่ 3 ขั้นฝึกปฏิบัติตามแบบ
ผู้สอนปฏิบัติให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่าง ผู้เรียนปฏิบัติตาม
ผู้สอนให้ข้อมูลป้อนกลับ ให้การเสริมแรงหรือแก้ไขข้อผิดพลาดของผู้เรียน
ขั้นที่ 4 ขั้นฝึกปฏิบัติภายใต้การกากับของผู้ชี้แนะ
ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยผู้สอนคอยดูแลอยู่ห่างๆ
ผู้สอนจะสามารถประเมินการเรียนรู้
และความสามารถของผู้เรียนได้จากความสำเร็จและความผิดพลาดของการปฏิบัติของผู้เรียน
และช่วยเหลือผู้เรียน โดยให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อให้ผู้เรียนแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ
ขั้นที่ 5 การฝึกปฏิบัติอย่างอิสระ
หลังจากที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติตามขั้นที่ 4 ได้ถูกต้องประมาณ
85- 90 % แล้ว ผู้สอนควรปล่อยให้ผู้เรียนปฏิบัติต่อไปอย่างอิสระ
เพื่อช่วยให้เกิดความชำนาญและการเรียนรู้อยู่คงทน ผู้สอนไม่จำเป็นต้องให้ข้อมูล
ป้อนกลับในทันที สามารถให้ภายหลังได้
การฝึกในขั้นนี้ไม่ควรทาติดต่อกันในครั้งเดียว ควรมีการฝึกเป็นระยะๆ
เพื่อช่วยให้การเรียนรู้อยู่คงทนขึ้น
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
การเรียนการสอนแบบนี้เป็นไปตามลาดับขั้นตอน ตรงไปตรงมา
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทั้งทางด้านพุทธิพิสัย
และทักษะพิสัยได้เร็วและได้มากในเวลาที่จากัด ไม่สับสน
ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตามความสามารถของตน จน สามารถบรรลุวัตถุประสงค์
ทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียน และมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
2.
รูปแบบการสอนโดยการสร้างเรื่อง(Storylines
Model)
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
การจัดการเรียนการสอนโดยวิธีสร้างเรื่อง พัฒนาขึ้นโดย ดร.สตีฟ
เบล(Steve Bell) และแซลลี่
ฮาร์กเนส (Sallie Harkness) จากประเทศสก็อตแลนด์
พวกเขามีความเชื่อเกี่ยวกับการเรียนรู้ว่า (อรทัย มูลคำ และคณะ, 2541 : 34-35)
1. การเรียนรู้ที่ดีควรมีลักษณะบูรณาการ
คือการเรียนรู้ที่ผสมผสานหลายศาสตร์หลายๆ อย่างเข้าไว้ด้วยกัน
เพื่อประโยชน์สูงสุดในการประยุกต์ใช้ในการทำงานและชีวิตประจำวัน
2. การเรียนรู้ที่ดีเป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรง
หรือการมีส่วนร่วมในการทำงานของผู้เรียนเอง
3. ความคงทนของผลการเรียนรู้
ขึ้นอยู่กับวิธีการเรียนรู้ หรือวิธีการที่ได้รับความรู้มา
4. ผู้เรียนสามารถรู้คุณค่าและสร้างผลงานที่ดีได้หากลงมือทำ
การเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสร้างเรื่องนี้ยังให้หลักการเรียนรู้และการสอนอีกหลายประการ
เช่น การเรียนรู้จากสิ่งรอบตัวไปสู่วิถีชีวิตจริง การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
การเรียนการาสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
เพื่อช่วยพัฒนาความรู้ ความเข้าใจและเจตคติของผู้เรียนในเรื่องที่เรียน
รวมทั้งทักษะกระบวนต่างๆ เช่น ทักษะการคิด ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการสื่อสาร เป็นต้น
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูป
ขั้นที่ 1 การกำหนดเส้นทางเดินเรื่องให้เหมาะสม
ผู้สอนจำเป็นต้องวิเคราะห์จุดมุ่งหมายและเนื้อหาสาระของหลักสูตร
และเลือกหัวข้อเรื่องให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระของหลักสูตรที่ต้องการจะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
และจัดแผนการสอนในรายละเอียด เส้นทางเดินเรื่อง ประกอบด้วย 4 องก์ (Episode) หรือ 4 ตอนด้วยกัน คือ ฉาก
ตัวละคร วิถีชีวิตและเหตุการณ์ ในแต่ละองก์ ผู้สอนจะต้องกำหนดประเด็นหลักขึ้นมาแล้วตั้งเป็นคำถามนำให้ผู้เรียนศึกษาหาคำตอบ
ซึ่งคำถามเหล่านี้จะโยงไปยังคำตอบที่สัมพันธ์กับเนื้อหาวิชาต่าง ๆ
ที่ประสงค์จะบูรณาการเข้าด้วยกัน
การดำเนินเรื่องหรือผูกเรื่องที่มีความต่อเนื่องกันประดุจดังเส้นเชือกโดยมีการตั้งคำถามหลัก
(Key Questions) เป็นตัวเชื่อมการดำเนินเรื่อง
ขั้นตอนสำคัญของเรื่องที่จะทำให้เกิดเป็น Storyline นั้นดังนี้
1. การจัดฉาก (Setting the
Scene) เป็นการระบุเวลา สถานที่ สิ่งแวดล้อม
2. มีตัวละคร (Character) ซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในข้อ 1
3. การดำเนินชีวิต (Way
of Life) เป็นการดำเนินชีวิตหรือเรื่องราวของตัวละครในข้อ 2
4. มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น หรือมีปัญหาที่ต้องแก้ไข (Events, incidents or real problems to be solved)
ขั้นที่ 2 การดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน
ผู้สอนดำเนินการตามแผนการสอนไปตามลำดับ การเรียนการสอนแบบนี้
อาจใช้เวลาเพียงไม่กี่คาบ หรือต่อเนื่องกันเป็นภาคเรียนก็ได้
แล้วแต่หัวเรื่องและการบูรณาการว่าสามารถทำได้ครอบคลุมเพียงใด
แต่ไม่ควรใช้เวลาเกิน 1 ภาคเรียน เพราะผู้เรียนอาจเกิดความเบื่อหน่าย ในการเริ่มกิจกรรมใหม่
ผู้สอนควรเชื่อมโยงกับเรื่องที่ค้างไว้เดิมให้สานต่อกันเสมอ
และควรให้ผู้เรียนสรุปความคิดรวบยอดของแต่ละกิจกรรม ก่อนจะขึ้นกิจกรรมใหม่ นอกจากนั้นควรกระตุ้นให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนชื่นชมผลงานของกันและกัน และได้ปรับปรุงพัฒนางานของตน
ขั้นที่ 3 การประเมิน
ผู้สอนใช้การประเมินผลตามสภาพที่แท้จริง (authentic assessment) คือการประเมินจากการสังเกต
การบันทึก และการรวบรวมข้อมูลจากผลงานและการแสดงออกของผู้เรียน
การประเมินจะไม่เน้นเฉพาะทักษะพื้นฐานเท่านั้น แต่จะรวมถึงทักษะการคิด การทำงาน
การร่วมมือ การแก้ปัญหา และอื่น ๆ
การประเมินให้ความสำคัญในการประสบผลสำเร็จในการทำงานของผู้เรียนแต่ละคน
มากกว่าการประเมินผลการเรียนที่มุ่งให้คะแนนผลผลิตและจัดลำดับที่เปรียบเทียบกับกลุ่ม
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะเกิดความรู้ ความเข้าใจ
ในเรื่องที่เรียนในระดับที่สามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์ได้
รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนกรต่างๆ
3.
รูปแบบการเรียนการสอนตามวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
แม็คคาร์ธี (McCarthy อ้างถึง ศักดิ์ชัย นิรัญทวี และไพเราะ พุ่มมั่น, 2542 : 7-11) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนนี้ขึ้นจากแนวคิดของโคล์ป (Kolp) ซึ่งอธิบายว่า การเรียนรู้เกิดจากความสัมพันธ์ของ 2 มิติ คือการรับรู้
และกระบวนการจัดกระทำข้อมูล การรับรู้ของบุคคลมี 2 ช่องทาง คือ
ผ่านทางประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมและผ่านทางความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรม
ส่วนกระบวนการจัดการกระทำกับข้อมูลที่รับรู้นั้น มี 2 ลักษณะเช่นเดียวกัน
คือการทดลองปฏิบัติและการสังเกตโดยใช้ความคิดอย่างไตร่ตรอง
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้สมองทุกส่วน
ทั้งซีกซ้ายและขวา ในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ตนเอง
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
การเรียนการสอนตามวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT มีขั้นตอนดำเนินการ 8 ขั้นดังนี้
(ศักดิ์ชัย นิรัญทวี และไพเราะพุ่มมั่น, 2542: 11-16; เธียร พานิช, 2542: 3-5)
ขั้นที่ 1 การสร้างประสบการณ์ ผู้สอนเริ่มต้นจากการจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของเรื่องที่เรียนด้วยตนเอง
ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนตอบได้ว่า ทำไมตนจึงต้องเรียนรู้เรื่องนี้
ขั้นที่ 2 การวิเคราะห์ประสบการณ์ หรือสะท้อนความคิดจากประสบการณ์
ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักรู้ และยอมรับความสำคัญของเรื่องที่เรียน
ขั้นที่ 3 การพัฒนาประสบการณ์เป็นความคิดรวบยอดหรือแนวคิด เมื่อผู้เรียนเห็นคุณค่าของเรื่องที่เรียนแล้ว
ผู้สอนจึงจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถสร้างความคิดรวบยอดขึ้นด้วยตนเอง
ขั้นที่ 4 การพัฒนาความรู้ความคิด เมื่อผู้เรียนมีประสบการณ์และเกิดความคิดรวบยอดหรือแนวคิดพอสมควรแล้ว
ผู้สอนจึงกระตุ้นให้ผู้เรียนพัฒนาความรู้ความคิดของตนให้กว้างขวางและลึกซึ้งขึ้น
โดยการให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย
การเรียนรู้ในขั้นที่ 3 และ 4 นี้คือการตอบคำถามว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้คืออะไร
ขั้นที่ 5 การปฏิบัติตามแนวคิดที่ได้เรียนรู้ ในขั้นนี้ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนนำความรู้ความคิดที่ได้รับจากการเรียนรู้ในขั้นที่
3-4 มาทดลองปฏิบัติจริง และศึกษาผลที่เกิดขึ้น
ขั้นที่ 6 การสร้างสรรค์ชิ้นงานของตนเอง จากการปฏิบัติตามแนวคิดที่ได้เรียนรู้ในขั้นที่
5 ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ถึงจุดเด่นจุดด้อยของแนวคิด
ความเข้าใจแนวคิดนั้นจะกระจ่างขึ้น ในขั้นนี้ผู้สอนควรกระตุ้นให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถของตน
โดยการนำความรู้ความเข้าใจนั้นไปใช้หรือปรับประยุกต์ใช้ในการสร้างชิ้นงานที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง
ดังนั้นคำถามหลักที่ใช้ในขั้นที่ 5-6 ก็คือ จะทำอย่างไร
ขั้นที่ 7 การวิเคราะห์ผลงานและแนวทางในการนำไปประยุกต์ใช้ เมื่อผู้เรียนได้สร้างสรรค์ชิ้นงานของตนตามความถนัดแล้ว
ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงผลงานของตน ชื่นชมกับความสำเร็จ
และเรียนรู้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ รวมทั้งรับฟังข้อวิพากษ์วิจารณ์
เพื่อการปรับปรุงงานของตนให้ดีขึ้นและนำไปประยุกต์ใช้ต่อไป
ขั้นที่ 8 การแลกเปลี่ยนความรู้ความคิด ขั้นนี้เป็นขั้นขยายขอบข่ายของความรู้โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดแก่กันและกัน
และร่วมกันอภิปรายเพื่อการนำการเรียนรู้ไปเชื่อมโยงกับชีวิตจริงและอนาคต
คำถามหลักในการอภิปรายก็คือ ถ้า....? ซึ่งอาจนำไปสู่การเปิดประเด็นใหม่สำหรับผู้เรียน
ในการเริ่มต้นวัฏจักรของการเรียนรู้ในเรื่องใหม่ต่อไป
ง . ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนรู้ตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะสามารถสร้างความรู้ด้วยตนเองในเรื่องที่เรียน
จะเกิดความรู้ความเข้าใจและนำความรู้ความเข้าใจนั้นไปใช้ได้
และสามารถสร้างผลงานที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง
รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ อีกจำนวนมาก
4.
รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Instructional Models of Cooperative Learning)
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนของแนวคิดแบบร่วมมือ พัฒนาขึ้นโดยอาศัย
หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือของจอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson & Johnson, 1974: 213-240)
ซึ่งได้ชี้ให้เห็นว่า ผู้เรียนควรร่วมมือกันในการเรียนรู้มากกว่าการแข่งขันกัน
เพราะการแข่งขันก่อให้เกิดสภาพการณ์แพ้-ชนะ
ต่างจากการร่วมมือกันซึ่งก่อให้เกิดสภาพการณ์ชนะ-ชนะ
อันเป็นสภาพการณ์ที่ดีกว่าทั้งทางด้านจิตใจและสติปัญญา หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ
5 ประการประกอบด้วย
1.
การเรียนรู้ต้องอาศัยหลักพึ่งพากันโดยถือว่าทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกันและจะต้องพึงพากันเพื่อความสำเร็จร่วมกัน
2. การเรียนรู้ที่ดีต้องอาศัยการหันหน้าเข้าหากัน
มีปฏิสัมพันธ์กันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อมูล และการเรียนรู้ต่างๆ
3. การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม
โดยเฉพาะทักษะในการทำงานร่วมกัน
4. การเรียนรู้ร่วมกันควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มที่ใช้ในการทำงาน
5. การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมีผลงานหรือผลสัมฤทธิ์
ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่มที่สามารถตรวจสอบและวัดประเมินได้
หากผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบร่วมมือกัน
นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทางด้านเนื้อหาสาระต่าง
ๆ ได้กว้างขึ้นและลึกซึ้งขึ้นแล้วยังสามารถช่วยพัฒนาผู้เรียนทางด้านสังคมและอารมณ์มากขึ้นด้วย
รวมทั้งมีโอกาสได้ฝึกฝนพัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอีกมาก
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระต่างๆ
ด้วยตนเองและด้วยความ ร่วมมือและความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ
รวมทั้งได้พัฒนาทักษะสังคมต่างๆ เช่นทักษะการสื่อสาร ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ รวมทั้งทักษะแสวงหาความรู้ ทักษะการคิด
การแก้ปัญหาและอื่นๆ
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
รูป
แบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือมีหลายรูปแบบ
ซึ่ง แต่ละรูปแบบจะมีวิธีการหลักๆ ซึ่งได้แก่ การจัดกลุ่ม
การศึกษาเนื้อหาสาระ
การทดสอบ การคิดคะแนน และระบบการให้รางวัลแตกต่างกันออกไป
เพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะ แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด
ต่างก็ใช้หลักการเดียวกัน
คือหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการ
และมีวัตถุประสงค์มุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกัน
คือเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ศึกษาอย่างมากที่สุดโดย
อาศัยการร่วมมือกัน
ช่วยเหลือกัน และแลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน
ความแตกต่างของรูปแบบแต่ละรูปแบบจะอยู่ที่เทคนิคในการศึกษาเนื้อหาสาระ
และวิธีการเสริมแรงและการให้รางวัลเป็นประการสำคัญ
เพื่อความกระชับในการนำเสนอ
ผู้เขียนจึงจะนำเสนอกระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบทั้ง 8 รูปแบบต่อเนื่องกันดังนี้
1. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบจิ๊กซอร์ ( Jigsaw )
1.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ ( เก่ง-กลาง-อ่อน ) กลุ่มละ 4
คนและเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มบ้านของเรา (home group)
1.2 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหาสาระคนละ 1 ส่วน
(เปรียบเสมือนได้ชิ้นส่วนของภาพตัดต่อคนละ 1 ชิ้น)
และหาคำตอบในประเด็นปัญหาที่ผู้สอนมอบหมายให้
1.3 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา
แยกย้ายไปรวมกับสมาชิกกลุ่มอื่นซึ่งได้รับเนื้อหาเดียวกัน
ตั้งเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (expert group) ขึ้นมา
และร่วมกันทำความเข้าใจในเนื้อหาสาระนั้นอย่างละเอียด และร่วมกันอภิปรายหาคำตอบประเด็นที่ผู้สอนมอบหมายให้
1.4 สมาชิกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ กลับไปสู่กลุ่มบ้านของเรา
แต่ละกลุ่มช่วยสอนเพื่อนในกลุ่ม
ให้เข้าใจสาระที่ตนได้ศึกษาร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้
สมาชิกทุกคนก็จะได้เรียนรู้ภาพรวมของสาระทั้งหมด
1.5 ผู้เรียนทุกคนทำแบบทดสอบ แต่ละคนจะได้คะแนนเป็นรายบุคคล
และนำคะแนนของทุกคนในกลุ่มบ้านของเรามารวมกัน ( หรือหาค่าเฉลี่ย ) เป็นคะแนนกลุ่ม
กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดได้รับรางวัล
2. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ เอส.ที.เอ.ดี. ( STAD )
คำว่า “STAD” เป็นตัวย่อของคำว่า “Student Teams Achievement Division” กระบวนการดำเนินการมีดังนี้
2.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ ( เก่ง - กลาง - อ่อน ) กลุ่มละ 4
คนและเรียกกลุ่มนี้ว่ากลุ่มบ้านของเรา (Home Group)
2.2 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา ได้รับเนื้อหาสาระและศึกษาเนื้อหาสาระนั้นร่วมกัน
เนื้อหาสาระนั้นอาจะมีหลายตอนซึ่งผู้เรียนอาจต้องทำแบบทดสอบในแต่ละตอนและเก็บคะแนนของตนไว้
2.3 ผู้เรียนทุกคนทำแบบทดสอบครั้งสุดท้าย
ซึ่งเป็นการทดสอบรวบยอดและนำคะแนนของตนไปหาคะแนนพัฒนาการ (Improvement
Score) ซึ่งหาได้ดังนี้
คะแนนพื้นฐาน : ได้จากค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบย่อยหลายๆ
ครั้งที่ผู้เรียน แต่ละคนทำได้
คะแนนที่ได้ :
ได้จากการนำคะแนนทดสอบครั้งสุดท้ายลบคะแนนพื้นฐาน
คะแนนพัฒนาการ : ถ้าคะแนนที่ได้คือ
11 ขึ้นไป คะแนนพัฒนาการ = 0
1 ถึง -10 คะแนนพัฒนาการ = 10
+1 ถึง +10 คะแนนพัฒนาการ = 20
+11 ขึ้นไป คะแนนพัฒนาการ = 30
2.4 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรานำคะแนนพัฒนาการของแต่ละคนในกลุ่มมารวมกัน
เป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มใดได้คะแนนพัฒนาการของกลุ่มสูงสุด กลุ่มนั้นได้รางวัล
3. กระบวนการเรียนการสอนรูปแบบ ที.เอ.ไอ. (TAI)
คำว่า “TAI” เป็นตัวย่อของคำว่า “Team- Assisted Individualization” ซึ่งมีกระบวนการดังนี้
3.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ ( เก่ง - กลาง - อ่อน ) กลุ่มละ 4
คนและเรียกกลุ่มนี้ว่ากลุ่มบ้านของเรา (Home Group)
3.2 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา ได้รับเนื้อหาสาระและศึกษาเนื้อหาสาระนั้นร่วมกัน
3.3 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา จับคู่ทำแบบฝึกหัด
ก. ถ้าใครทำแบบฝึกหัดได้ 75% ขึ้นไป
ให้ไปรับการทดสอบรวมยอดครั้งสุดทาย
ข. ถ้าใครทำแบบฝึกหัดได้ไม่ถึง 75%
ให้ทำแบบฝึกหัดซ่อมจนกระทั่งทำได้แล้วจึงไปรับการทดสอบรวบยอดครั้งสุดท้าย
3.4 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราแต่ละคน นำคะแนนรวบยอดมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม
กลุ่มใดได้คะแนนกลุ่มสูงสุด กลุ่มนั้นได้รับรางวัล
4. รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ ที.จี.ที. (TGT)
ตัวย่อ “TGT” มาจาก “Teams Games Tournaments”
4.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ ( เก่ง - กลาง - อ่อน ) กลุ่มละ 4
คนและเรียกกลุ่มนี้ว่ากลุ่มบ้านของเรา (Home Group)
4.2 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา ได้รับเนื้อหาสาระและศึกษาเนื้อหาสาระนั้นร่วมกัน
4.3 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา แยกย้ายกันเป็นตัวแทนไปแข่งขันกับกลุ่มอื่น
โดยจัดกลุ่มการแข่งขันตามความสามารถ คนเก่งของบ้านเราไปแข่งขันกับคนเก่งบ้านอื่น
คนอ่อนของบ้านเราไปแข่งขันกับคนอ่อนบ้านอื่น
กลุ่มใหม่ที่รวมกันนี้เรียกว่ากลุ่มแข่งขันกำหนดให้มีสมาชิกกลุ่มละ 4 คน
4.4 สมาชิกในกลุ่มแข่งขันกัน เริ่มแข่งขันกันดังนี้
ก. แข่งขันกันตอบคำถาม 10 คำถาม
ข.
สมาชิกคนแรกหยิบคำถามขึ้นมาหนึ่งคำถามแล้วอ่านให้สมาชิกที่เหลือฟัง
ค. ให้สมาชิกที่อยู่ซ้ายมือตอบก่อน ถามเรียงๆ
กันไปจนตอบครบทุกคน
ง. ผู้อ่านคำถามเปิดคำตอบแล้วอ่านเฉลยที่ถูกให้คนในกลุ่มฟัง
จ. ให้คะแนนคำตอบดังนี้
ผู้ตอบถูกเป็นคนแรกให้ 2 คะแนน
ผู้ตอบถูกคนต่อไปให้ 1 คะแนน
ผู้ตอบผิดให้ 0 คะแนน
ฉ. ให้สมาชิกกลุ่มที่สองหยิบคำถามที่ 2 แล้วเล่นตามข้อ ก-ค
ใหม่
ช. ทุกคนรวมคะแนนของตนเอง
ผู้ชนะคะแนนสูงอันดับ 1 ได้โบนัส 10 คะแนน
ผู้ชนะคะแนนสูงอันดับ 2 ได้โบนัส 8 คะแนน
ผู้ชนะคะแนนสูงอันดับ 3 ได้โบนัส 5 คะแนน
ผู้ชนะคะแนนสูงอันดับ 4 ได้โบนัส 4 คะแนน
4.5 เมื่อแข่งขันเสร็จแล้ว แยกย้ายกันกลับกลุ่มบ้านเรา นำคะแนนที่แต่ละคนได้
รวมกันทำเป็นคะแนนกลุ่ม
5. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ แอล.ที. ( L.T )
“ L.T. ” มาจากคำว่า
“Learning Together” ซึ่งมีกระบวนการที่ง่ายไม่ซับซ้อน
ดังนี้
5.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ ( เก่ง - กลาง - อ่อน ) กลุ่มละ 4 คน
5.2 กลุ่มย่อยกลุ่มละ 4 คน ศึกษาเนื้อหาร่วมกันโดยกำหนดให้แต่ละคนมีบทบาทหน้าที่ช่วยกลุ่มในการเรียนรู้
ตัวอย่างเช่น
สมาชิกคนที่ 1 : อ่านคำสั่ง
สมาชิกคนที่ 2 : หาคำตอบ
สมาชิกคนที่ 3 : หาคำตอบ
สมาชิกคนที่ 4 : ตรวจคำตอบ
5.3 กลุ่มสรุปคำตอบร่วมกัน และส่งคำตอบนั้นเป็นผลงานกลุ่ม
5.4 ผลงานกลุ่มได้คะแนนเท่าไร
สมาชิกทุกคนในกลุ่มนั้นจะได้คะแนนนั้นเท่ากันทุกคน
6. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ จี. ไอ. (G.I.)
“G.I.” คือ “Group
Investigation” รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนช่วยกันไปสืบค้นข้อมูลมาใช้ในการเรียนรู้ร่วมกัน
โดยดำเนินการเป็นขั้นตอนดังนี้
6.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน)
กลุ่มละ 4 คน
6.2 กลุ่มย่อยศึกษาเนื้อหาสาระร่วมกันโดย
ก. แบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อย่อย ๆ
แล้วแบ่งกันไปศึกษาหาข้อมูลหรือคำตอบ
ข. ในการเลือกเนื้อหา ควรให้ผู้เรียนอ่อนเป็นผู้เลือกก่อน
6.3 สมาชิกแต่ละคนไปศึกษาหาข้อมูล/คำตอบมาให้กลุ่ม
กลุ่มอภิปรายร่วมกันและสรุปผลการศึกษา
6.4 กลุ่มเสนอผลงานของกลุ่มต่อชั้นเรียน
7. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ซี. ไอ. อาร์. ซี. (CIRC)
รูปแบบ CIRC หรือ “Cooperative
Integrated Reading and Composition” เป็นรูปแบบการเรียนการสอนแบบร่วมมือที่ใช้ในการสอนอ่านและเขียนโดยเฉพาะ
รูปแบบนี้ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรมคือ กิจกรรมการอ่านแบบเรียน
การสอนการอ่านเพื่อความเข้าใจ และการบูรณาการภาษากับการเรียน
โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้(Slavin, 1995:
104-110)
7.1 ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนตามระดับความสามารถในการอ่าน
นักเรียนในแต่ละกลุ่มจับคู่ 2 คน หรือ 3 คน
ทำกิจกรรมการอ่านแบบเรียนร่วมกัน
7.2 ครูจัดทีมใหม่โดยให้นักเรียนแต่ละทีมต่างระดับความสามารถอย่างน้อย
2 ระดับ ทีมทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น เขียนรายงาน แต่งความ
ทำแบบฝึกหัดและแบบทดสอบต่างๆ และมีการให้คะแนนของแต่ละทีม ทีมใดได้คะแนน 90%
ขึ้นไป จะได้รับประกาศนียบัตรเป็น “ซุปเปอร์ทีม” หากได้คะแนนตั้งแต่ 80-89% ก็จะได้รับรางวัลรองลงมา
7.3 ครูพบกลุ่มการอ่านประมาณวันละ 20 นาที
แจ้งวัตถุประสงค์ในการอ่าน แนะนำคำศัพท์ใหม่ๆ ทบทวนศัพท์เก่า
ต่อจากนั้นครูจะกำหนดและแนะนำเรื่องที่อ่านแล้วให้ผู้เรียนทำกิจกรรมต่างๆ
ตามที่ผู้เรียนจัดเตรียมไว้ให้
เช่นอ่านเรื่องในใจแล้วจับคู่อ่านออกเสียงให้เพื่อนฟังและช่วยกันแก้จุดบกพร่อง
หรือครูอาจจะให้นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม วิเคราะห์ตัวละคร
วิเคราะห์ปัญหาหรือทำนายว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไปเป็นต้น
7.4 หลังจากกิจกรรมการอ่าน ครูนำอภิปรายเรื่องที่อ่าน
โดยครูจะเน้นการฝึกทักษะต่างๆ ในการอ่าน เช่น การจับประเด็นปัญหา การทำนาย เป็นต้น
7.5 นักเรียนรับการทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจ
นักเรียนจะได้รับคะแนนเป็นทั้งรายบุคคลและทีม7.6
นักเรียนจะได้รับการสอนและฝึกทักษะการอ่านสัปดาห์ละ 1 วัน เช่น
ทักษะการจับใจความสำคัญ ทักษะการอ้างอิง ทักษะการใช้เหตุผล เป็นต้น
7.7 นักเรียนจะได้รับชุดการเรียนการสอนเขียน
ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกหัวข้อการเขียนได้ตามความสนใจ
นักเรียนจะช่วยกันวางแผนเขียนเรื่องและช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องและในที่สุดตีพิมพ์ผลงานออกมา
7.8 นักเรียนจะได้รับการบ้านให้เลือกอ่านหนังสือที่สนใจ
และเขียนรายงานเรื่องที่อ่านเป็นรายบุคคลโดยให้ผู้ปกครองช่วยตรวจสอบพฤติกรรมการอ่านของนักเรียนที่บ้าน
โดยมีแบบฟอร์มให้
8. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบคอมเพล็กซ์
(Complex Instruction)
รูปแบบนี้พัฒนาขึ้นโดย เอลิซาเบธ โคเฮน และคณะ (Elizabeth Cohen) เป็นรูปแบบที่คล้ายคลึงกับรูปแบบ
จี. ไอ. เพียงแต่จะสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่มมากกว่าการทำเป็นรายบุคคล
นอกจากนั้นงานที่ให้ยังมีลักษณะของการประสานสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับทักษะหลายประเภท
และเน้นการให้ความสำคัญกับผู้เรียนเป็นรายบุคคล โดยการจัดงานให้เหมาะสมกับความสามารถและความถนัดของผู้เรียนแต่ละคน
ดังนั้นครูต้องค้นหาความสามารถเฉพาะทางของผู้เรียนที่อ่อน โคเฮน เชื่อว่า
หากผู้เรียนได้รับรู้ว่าตนมีความถนัดในด้านใด
จะช่วยให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองในด้านอื่นๆ ด้วย
รูปแบบนี้จะไม่มีกลไกการให้รางวัล เนื่องจากเป็นรูปแบบที่ได้ออกแบบให้งานที่แต่ละบุคคลทำ
สามารถสนองตอบความสนใจของผู้เรียนและสามารถจูงใจผู้เรียนแต่ละคนอยู่แล้ว
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้เนื้อหาสาระด้วยตนเองและด้วยความร่วมมือและช่วยเหลือจากเพื่อนๆ
รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการประสานสัมพันธ์ ทักษะการคิด
ทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการแก้ปัญหา ฯลฯ
ที่มา : พิจิตรา ธงพานิช. วิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์.

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น