ผู้ออกแบบสามารถที่จะเลือกชนิดของสื่อให้มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งและมีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของการเรียนรู้ที่คาดหวังจะเกิดขึ้นได้
ถ้าผู้ออกแบบรับรู้ชนิดของสื่อที่มีอยู่ รวมทั้งข้อดีและข้อเสียด้วย ดังนั้น
ผู้ออกแบบก็จะเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะที่เป็นผู้ที่รู้จักเลือกชนิดของสื่อได้อย่างเหมาะสม
เราสามารถจำแนกสื่อได้ 4 ประเภท คือ สื่อทางหู (Audio) สื่อทางตา (Visual) สื่อทางหู
และทางตารวมกัน(audio-visual)
และสัมผัส (tactile) ผู้ออกแบบสามารถเลือกสื่อที่เหมาะสมที่สุดจากประเภทของสื่อต่างๆ
สำหรับภาระงานการเรียนการสอนที่มีความเฉพาะเจาะจงสื่อต่างๆ ทั้ง 4
ประเภทในตัวอย่างที่เกี่ยวข้อง มีดังต่อไปนี้
1. สื่อทางหู
ได้แก่ เสียงของผู้ฝึก ห้องปฏิบัติการทางเสียง การเตรียมเทปสำหรับผู้ฝึกเทป
แผ่นเสียง วิทยุกระจายเสียง
2. สื่อทางตา
ได้แก่ กระดานชอล์ค กระดานแม่เหล็ก กราฟ คอมพิวเตอร์ วัสดุต่างๆที่เป็นของจริง
รูปภาพ แผนภูมิ กราฟถ่ายภาพ ผมสำรอง สิ่งที่ครูแจกให้ หนังสือ ฟิล์ม สไลด์ แผ่นใส
3. สื่อทางหูและทางตา
ได้แก่ เทปวีดีโอ ทีวีวงจรปิด โปรแกรมโสตทัศนวัสดุ สไลด์ เทป ภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม
ทีวีทั่วไป เทคโนโลยีอื่นอื่นเช่น ดิจิตอล วีดิโอ อินเตอร์เน็ตแอคทิฟเทคโนโลยี (digital vedio interactive
technology)
4. สื่อทางสัมผัส
ได้แก่ วัตถุของจริง แบบจำลองในการทำงาน เช่น ผู้แสดงสถานการณ์จำลอง
ข้อดีและข้อเสียของสื่อบางประเภท
ในการเลือกสื่อที่มีความเหมาะสมที่สุดสำหรับพนักงานการเรียนรู้ที่มีความเฉพาะเจาะจงผู้ออกแบบจำเป็นต้องรู้ถึงความเป็นไปได้ในข้อดีและข้อเสียที่เกี่ยวข้องกับสื่อแต่ละประเภท
การตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการ
การตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการและสื่อบางครั้งเกิดขึ้นพร้อมพร้อมกัน
ในบางเวลาจะเลือกวิธีการก่อน และเลือกสื่อที่จำเป็นในการใช้ทีหลัง ดูแกน เลียด (Dugan laird:180) เปรียบเทียบวิธีการเป็นเหมือนทางหลวง
(Highway) ที่จะนำไปสู่จุดหมายปลายทาง (จุดประสงค์) และสื่อ
(วัสดุฝึก) เป็นสิ่งที่เพิ่มเติม (accessories)บนทางหลวง เช่น
สัญญาณ แผนที่ ซึ่งจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น
วิธีการ
เป็นกลยุทธ์การเรียนการสอนที่มีระดับความชี้เฉพาะมาก
เป็นวิธีการเรียนการสอนที่ตัดสินธรรมชาติของบทเรียน จอยส์และวีล (Joyce and Weil,1980) เรียกสิ่งเหล่านี้ว่าแบบจำลองการสอน (Model of teaching) แบบจำลองเป็นวิธีการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ในระดับบทเรียนเมื่อป่วยที่เป็นระดับหน่วยในหลักสูตร
ออซูเบล(Ausubel,1968) กล่าวว่า
มีความแตกต่างระหว่างวิธีการสำคัญ 2 วิธี คือ
การเรียนรู้เพื่อค้นพบ ( Diacovery leaning) รายการเรียนรู้เพื่อรับความคิด
(Reception leaning)
1. การเรียนรู้เพื่อรับความคิดคือ
การเรียนรู้จากการบรรยาย หรือการเรียนรู้จักโสตทัศนูปกรณ์ ซึ่งเสนอสารสนเทศ
2. การเรียนรู้เพื่อค้นพบคือ
การสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนมีอิสระที่จะสำรวจ และไม่ได้กำหนดจุดหมายปลายทางของการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้า
การเรียนรู้เพื่อค้นพบมีองค์ประกอบทั้งการค้นพบและการรับรู้ที่มากไปกว่าการที่จะบอกแต่เพียงนักเรียนจะต้องเรียนอะไร
นักเรียนจะได้รับคำแนะนำซึ่งจะนำไปสู่การค้นพบ ออซูเบลเชื่อว่าวิธีการจะกลายเป็นสิ่งที่มีความหมาย
ผู้แบบสามารถเลือกวิธีการ เช่น
การบรรยาย การใช้ห้องปฏิบัติการ การอภิปราย การอ่าน การทัศนศึกษา การจดบันทึก
การสาธิต บทเรียนสำเร็จรูป กรณีศึกษาบทบาทสมมุติ การศึกษาด้วยตนเองและสถานการณ์จำลอง
วิธีเหล่านี้มีรูปแบบให้เลือกมากมายการบรรยายอาจจะเป็นบทละคร
เป็นการนำเสนอด้วยโสตทัศนูปกรณ์ การอภิปรายมีหลายรูปแบบการสนทนาถกเถียงปัญหา
การประชุมโต้ตอบกัน รายการระดมสมอง กรณีศึกษามีหลากหลายจากกรณีประวัติศาสตร์
จนกระทั่งถึงการแก้ปัญหาและเช่นเดียวกับบทบาทสมมุติเป็นแบบหนึ่งของสถานการณ์จำลอง
บทเรียนสำเร็จรูปต้องอาศัยคำตอบหรือการตอบสนองบ่อยๆ
และให้ข้อมูลป้อนกลับอย่างทันทีทันใดและสามารถเสนอผ่านทางหนังสือ แบบฝึกหัด
หรือคอมพิวเตอร์ แบบของโปรแกรมอาจจะเป็นเส้นตรง เส้นสาขา
หรือบางกรณีเป็นคอมพิวเตอร์ แบบฝึกหัด ปฏิบัติแบบติว และแบบสถานการณ์จำลอง
การสาธิตสามารถนำเสนอด้วยปฏิกิริยาสัมพันธ์และการอภิปรายการศึกษาด้วยตัวเอง
ทำให้ด้วยการใช้ module
ใช้ชุดของสื่อ
ที่มา : พิจิตรา
ธงพานิช.วิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน.นครปฐม :
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์, 2560.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น