❖ กลุ่มที่ 1 ❖
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเกิดขึ้นจากพื้นฐานความเชื่อที่ว่า "การ จัดการศึกษามีเป้าหมายสำคัญที่สุด
คือการจัดการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนแต่ละคนได้พัฒนาตนเองสูงสุด
ตามกำลังหรือศักยภาพของแต่ละคน" แต่เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีความแตก
ต่างกัน ทั้งด้านความต้องการ ความสนใจ ความถนัดและยังมีทักษะพื้นฐานอันเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะใช้ในการเรียนรู้
อันได้แก่ ความสามารถในการฟัง พูด อ่าน เขียน ความสามารถทางสมอง ระดับสติปัญญา
และการแสดงผลของการเรียนรู้ออกมาในลักษณะที่ต่างกัน จึงควรมีการจัดการที่เหมาะสมในลักษณะที่แตกต่างกัน
ตามเหตุปัจจัยของผู้เรียนแต่ละคน และผู้ที่มีบทบาทสำคัญในกลไกของการจัดการ คือ ครู
ดังนั้นหลักการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
จึงมีสาระที่สำคัญ 2 ประการคือ
- คำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียน
- การส่งเสริมให้ผู้เรียนได้นำเอาสิ่งที่เรียนรู้ไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
เพื่อพัฒนาตนเองไปสู่ศักยภาพสูงสุดที่แต่ละคนจะมีและเป็นได้
❖ กลุ่มที่ 2 ❖
รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
เทคนิค/วิธีการสอน
|
ทักษะ/พฤติกรรมที่มุ่งเน้น
|
บทบาทผู้เรียน
|
1.กระบวนการสืบค้น(Inquiry Process)
|
-การศึกษาค้นคว้า
-การเรียนรู้กระบวนการ
-การตัดสินใจ
-ความคิดสร้างสรรค์
|
ศึกษาค้นคว้าเพื่อสืบค้นข้อความรู้ด้วยตนเอง
|
2.การเรียนรู้แบบค้นพบ(Discovery Learning)
|
-การสังเกต การสืบค้น
-การใช้เหตุผล การอ้างอิง
-การสร้างสมมติฐาน
|
ศึกษาค้นคว้าข้อความเเละขั้นตอนการเรียนรู้ด้วยตนเอง
|
3.การเรียนแบบ แก้ปัญหา(Problem-solving)
|
-การศึกษาแบบค้นคว้า
-การวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่าข้อมูล
-การลงข้อสรุป
-การแก้ปัญหา
|
ศึกษาแก้ปัญหาอย่างเป็นกระบวนการและฝึกทักษะการเรียนรู้ที่สำคัญด้วยตนเอง
|
4.การเรียนแบบสร้างแผนผังความคิด(Concept
Mapping)
|
-การคิด
-การจัดระบบความคิด
|
จัดระบบความคิดของตนให้ชัดเจน เห็นความสัมพันธ์
|
5.การตั้งคำถาม(Questioning)
|
-กระบวนการคิด
-การตีความ
-การไตร่ตรอง
-การถ่ายทอดความคิด ความเข้าใจ
|
เรียนรู้จากการคิดเพื่อสร้างข้อคำถามและคำตอบด้วยตนเอง
|
6.การศึกษาเป็นรายบุคคล(Individual Study)
|
-การศึกษาค้นคว้าข้อความรู้
-การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
-ความรับผิดชอบ
-การตอบคำถาม
|
เรียนรู้อิสระด้วยตนเอง
|
7.การจัดการเรียนการสอนที่ใช้เทคโนโลยี(Technilogy-Related
Instruction)
|
-การแก้ปัญหา
-การนำความรู้ไปใช้
-การเรียนรู้ที่ต้องการผลการเรียนรู้ทันที
-การเรียนรู้ตามลำดับขั้นตอน
-บทเรียนสำเร็จรูป
-คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
-e-learning
|
เรียนรู้ด้วยตนเองตามระดับความรู้ความสามารถของตนมีการแก้ไขฝึกซ้ำเพื่อสร้างความรู้
ความเข้าใจเเละความเชี่ยวชาญ
|
8.การอภิปรายกลุ่มใหญ่(Whole-Class
Discussion)
|
-การแสดงออกความคิดเห็น
-การวิเคราะห์
-การตีความ
-การสื่อความหมาย
-ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
-การสรุปความ
|
มีอิสระในการเเสดงความคิดเห็น มีบทบาทส่วนร่วมในการสร้างข้อความรู้
|
9.การอภิปรายกลุ่มย่อย(Small-Group
Discussion)
9.1เทคคิคคู่คิด(Think Pair-share)
9.2-เทคนิคการระดมพลังสมอง(Brainstorming)
9.3เทคนิค Buzzing
9.4การอภิปรายกลุ่มแบบต่างๆ
9.5กลุ่มติว
|
-กระบวนการกลุ่ม
-การวางเเผน
-การแก้ปัญหา
-การตัดสินใจ
-ความคิดระดับสูง
-ความคิดสร้างสรรค์
-การแก้ไขข้อขัดเเย้ง
-การสื่อสาร
-การประเมินผลงาน
-การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้
-การค้นคว้าหาคำตอบ
-การเเลกเปลี่ยนความคิดเห็น
-การมีส่วนร่วม
-การแสดงความคิดเห็น
-ความคิดสร้างสรรค์
-การค้นคว้าหาคำตอบด้วยเวลาจำกัด
-การสื่อสาร
-การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
-การสรุปข้อความ
-การฝึกซ้ำ
-การสื่อสาร
|
รับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของตนในฐานะผู้นำกลุ่มหรือสมาชิกกกลุ่มทั้งในบทบาทการทำงานเเละบทบาทเกี่ยวกับการรวมกลุ่ม
ในการสร้างข้อความรู้สึกหรือผลงานกลุ่ม
รับผิดชอบการเรียนร่วมกับเพื่อน
เเสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลายในเวลารวดเร็ว
เเสดงความคิดเห็นเพื่อหาข้อสรุปในเวลาจำกัด
รับฟังความคิดเห็นเพื่อหาข้อสรุปในเวลาจำกัด
ทบทวนจากเรียนเพิ่มเติม
|
10.การฝึกปฏิบัติการ
|
-การค้นคว้าหาความรู้
-การรวบรวมข้อมูล
-การแก้ปัญหา
|
ศึกษาค้นคว้าความรู้ในลักษณะกลุ่มปฏิบัติการ
|
11.เกม(Games)
|
-การคิดวิเคราะห์
-การตัดสินใจ
-การแก้ปัญหา
|
ได้เล่นเกมด้วยตนเองภายใต้กติกาที่กำหนด
ได้คิดวิเคราะห์พฤติกรรมเเละเกิดความสนุกสนานในการเรียนรู้
|
12.กรณีศึกษา(Case Studies)
|
-การค้นคว้าหาความรู้
-การอภิปราย
-การวิเคราะห์
-การแก้ปัญหา
|
ได้ฝึกคิดวิเคราะห์อภปรายเพื่อสร้างความเข้าใจเเล้วตัดสินใจเลือกเเนวทางการแก้ปัญหา
|
13.สถานการณ์จำลอง(Simulation)
|
-การแสดงความคิดเห็น
-ความรู้สึก
-การคิดวิเคราะห์
|
ได้ทดลองเเสดงพฤติกรรมต่างๆในสถานการณ์ที่จำลองใกล้เคียงกับสถานการณ์จริง
|
14.ละคร(Dramatization)
|
-ความรับผิดชอบในบทบาท
-การทำงานร่วมกัน
-การวิเคราะห์
|
ได้ทดลองเเสดงบทบาทตาที่กำหนดเกิดประสบการณ์เข้าใจคาวมรู้สึกเหตุผลเเละพฤติกรรมผู้อื่น
|
15.บทบาทสมมติ
|
-มนุษยสัมพันธ์
-การแก้ปัญหา
-การวิเคราะห์
|
ได้ลองสวมบทบาทต่างๆเเละศึกษาวิเคราะห์ความรู้สึกเเละพฤติกรรมตน
|
16.การเรียนแบบร่วมมือ(Cooperative Learning) ประกอบด้วยเทคนิคJIGSAW,JIGSAW II,TGT STAD,
GI,NHT,Co-op Co-op |
-กระบวนการกลุ่ม
-การสื่อสาร
-ความรับผิดชอบร่วมกัน
-ทักษะทางสังคม
-การแก้ปัญหา
-การคิดแบบหลากหลาย
-การสร้างบรรยากาศในการทำงานร่วมกัน
|
ได้เรียนรู้บทบาทสมาชิกกลุ่ม มีบทบาทหน้าที่
รู้จักการไว้วางใจให้เกียรติเเละรับฟังความคิดเห็นของเพื่อสมาชิกกลุ่ม
เเละรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเเละเพื่อๆในกลุ่ม
|
17.การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม(Participatory
Learning)
|
-การนำเสนอความคิดเห็นประสบการณ์
-การสื่อสารเเละปฏิสัมพันธ์
-กระบวนการกลุ่ม
|
มีส่วนร่วมในการอภิปรายเเดสงความคิดเห็นหรือปฏิบัติจนได้ข้อสรุป
|
18.การเรียนการสอนเเบบบูรณาการแบบ storyline
method
|
-การค้นคว้าหาความรู้
-การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
-ทักษะทางสังคม
-กระบวนการกลุ่ม
-การสื่อสาร
-การแก้ปัญหา
|
มีส่วนร่วมในการเรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจเเละการคิด
ดำเนินการเรียนด้วยตนเองทั้งในห้องเรียนเเละสถานการณ์จริง
ศึกษาปฏิบัติด้วยตนเองทุกเรื่อง ร่วมเเรงร่วมใจด้วยความเต็มใจ
|
❖ กลุ่มที่ 3 ❖
เทคนิควิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
วิธีการสอน
หมายถึง
ขั้นตอนที่ผู้สอนดำเนินการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ด้วยวิธี
การต่างๆที่เเตกต่างกันออกไปตามองค์ประกอบเเละขั้นตอนสำคัญอันเป็นลักษณะ
เด่นหรือลักษณะเฉพาะที่ขาดไม่ได้
เทคนิคการสอน
หมายถึง กลวิธีต่างๆที่ใช้เสริมขั้นตอนการสอน กระบวนการสอน
วิธีการสอนหรือการกระทำใดๆทางการสอน เพื่อช่วยให้การสอนมีคุณภาพมากขึ้น
เทคนิควิธีการสอนจึงมีความหลากหลาย
ได้แก่
1.
วิธีการสอนแบบบทบาทสมมติ(Role Playing)
ความหมายของการสอนแบบบทบาทสมมติ
วิธีสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ
หมายถึง การสอนที่ผู้สอนสร้างสถานการณ์และบทบาทสมมติขึ้นมาที่ใกล้เคียงกับความเป็น
จริง โดยให้ผู้เรียนเป็นผู้แสดงบทบาทสมมตินั้นๆ
ตามวัตถุประสงค์ที่ผู้สอนได้กำหนดไว้ เพื่อให้ผู้เรียนได้แสดงออกทางด้านความรู้
ความคิด ที่คิดว่าตนควรจะเป็น
จุดมุ่งหมายที่สำคัญ
คือ มุ่งฝึกการทำงานร่วมกัน กล้าคิด กล้าแสดงออกในการแก้ปัญหา การตัดสินใจ
ทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเนื้อมากยิ่งขึ้น ลดความตึงเครียด
เพราะเป็นการสอนที่ใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุด
ขั้นตอนของการสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ
1. ขั้นเตรียมการสอน เป็นการเตรียมใน
2 หัวข้อใหญ่ ได้แก่
1.1 เตรียมจุดประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมติให้แน่ชัดและเฉพาะเจาะจงว่าต้องการให้
ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจอะไรบ้างจากการแสดง
1.2 เตรียมสถานการณ์สมมติ เพื่อให้ผู้เรียนฟังโดยให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่กำหนดไว้
การเตรียมสถานการณ์และบทบาทสมมตินี้อาจเตรียมเขียนไว้อย่างละเอียดเพื่อมอบ
ให้แก่ผู้เรียน หรือเตรียมเฉพาะสถานการณ์เพื่อเล่าให้ผู้เรียนฟัง
ส่วนรายละเอียดผู้เรียนต้องคิดเอง
2. ขั้นดำเนินการสอน จัดแบ่งย่อยได้
7 ขั้นตอน ดังนี้
2.1 ขั้นนำเข้าสู่การแสดงบทบาทสมมติ เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วม
กิจกรรม โดยผู้สอนอาจใช้วิธีโยงประสบการณ์ใกล้ตัวผู้เรียน
เล่าเรื่องราว หรือสถานการณ์สมมติ ชี้แจงประโยชน์ของการแสดงบทบาทสมมติ
และการร่วมกันช่วยกันแก้ปัญหา
2.2 เลือกผู้แสดง
เมื่อผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมกิจกรรมแล้วผู้สอนจะจัดตัว
ผู้แสดงในบทบาทต่าง ๆ ในการเลือกตัวผู้แสดงนั้นอาจใช้วิธีดังนี้
1) เลือกอย่างเจาะจง
เช่น เลือกผู้ที่มีปัญหาออกมาแสดง
เขาได้รู้สึกในปัญหาและเห็นวิธีแก้ปัญหา
2) เลือกผู้ที่มีบุคลิกลักษณะคุณสมบัติ
มีความสามารถเหมาะสมกับบทบาทที่กำหนดให้
3) เลือกผู้แสดงโดยให้อาสาสมัคร
เพื่อให้เสรีภาพแก่ผู้เรียนในการเรียน การตัดสินใจ
2.3 การเตรียมความพร้อมของผู้แสดง
เมื่อเลือกผู้แสดงได้แล้ว ผู้สอนควรให้เวลา
ผู้แสดงได้เตรียมตัวและตกลงกันก่อนการแสดง ผู้สอนควรช่วยให้กำลังใจ ช่วยขจัดความตื่นเต้นประหม่า
และความวิตกกังวลต่าง ๆ เพื่อผู้แสดงได้แสดงอย่างเป็นธรรมชาติ
2.4 การจัดฉากการแสดง
การจัดฉากการแสดงอาจจะจัดแบบง่าย ๆ คำนึงถึงความประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากร
เช่น อาจสมมติโดยการเลื่อนโต๊ะเพียงตัวเดียว
เพราะการจัดฉากนี้เป็นเพียงส่วนประกอบย่อยของการแสดง
2.5 การเตรียมผู้สังเกตการณ์
ในขณะที่ผู้แสดงเตรียมตัว ผู้สอนควรได้ใช้เวลานั้นเตรียมผู้ชมด้วย
โดยควรทำความเข้าใจกับผู้ชมว่าควรสังเกตอะไรจึงจะเป็นประโยชน์ต่อ
การวิเคราะห์และอภิปรายในภายหลัง
ผู้สอนอาจเตรียมหัวข้อการสังเกต หรือจัดทำแบบสังเกตการณ์เตรียมไว้ให้พร้อม
แล้วเลือกผู้สังเกตการณ์ช่วยกันดู และบันทึกพฤติกรรมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อย ๆ ไป
2.6 การแสดง เมื่อทุกฝ่ายพร้อมแล้วจึงเริ่มแสดง การแสดงนี้ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
ผู้สอนและผู้ชมไม่ควรเข้าขัดกลางคัน นอกจากในกรณีที่ผู้แสดงต้องการ
ความช่วยเหลือ ในขณะที่แสดงผู้สอนควรสังเกตพฤติกรรมของผู้แสดงและผู้ชมอย่างใกล้ชิด
2.
วิธีการสอนโดยใช้กรณีศึกษา(Case Study)
การสอนแบบกรณีศึกษา
หมายถึง กระบวนการสอนที่ผู้สอนนำเสนอกรณีศึกษา
หรือตัวอย่างหรือเรื่องราวที่เกิดจากสถานการณ์ใดๆ ซึ่งมีปัญหาความขัดแย้งอยู่ โดยนำเสนอในรูปแบบ ต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาวิเคราะห์ อภิปราย แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันในการหาแนวทางแก้ปัญหา
จะช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจพื้นฐานของปัญหาและตัดสินใจแก้ปัญหาได้ด้วยตน เอง
3.
วิธีสอนโดยใช้เกม(Game)
ความหมายการสอนโดยใช้เกม
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้เกม
คือ เกมการศึกษา เป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
เป็นเกมที่มีลักษณะการเล่นเพื่อการเรียนรู้ “Play
to learning”
ขั้นตอนสำคัญ
1.ผู้สอนนำเสนอเกม
ชี้เเจงวิธีการเล่นเเละกติกาการเล่น
2.ผู้เรียนเล่นเกมตามกติกา
3.ผู้เรียนและผู้สอนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับผลการเล่นเเละวิธีการเล่นหรือพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียน
4.ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
4.
วิธีการสอนแบบสถานการณ์จำลอง(Simulation)
ความหมายวิธีการสอนแบบสถานการณ์จำลอง
สรุปได้ว่า การสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง หมายถึง
กระบวนการที่ผู้สอนใช้ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ กำหนด
โดยผู้สอนจัดสถานการณ์ขึ้นเลียนแบบของจริง
โดยกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการแก้ปัญหา
ได้ใช้ทักษะกระบวนการคิดและการตัดสินใจจากสถานการณ์นั้นๆ โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในบทบาทหรือในสถานการณ์นั้นๆ ให้มากที่สุด
ขั้นตอนของวิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง
1) การเตรียมการ
2) การนำเสนอสถานการณ์จำลอง
3) การเลือกบทบาท
4) การเล่นในสถานการณ์จำลอง
5) การอภิปราย
5.
วิธีสอนโดยการใช้นิรนัย(Deduction)
เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จัดขึ้นโดยให้ผู้เรียนมีความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎี หลักการ กฎ เเละข้อสรุปใรเรื่องที่เรียน เเล้วจึงยกตัวอย่างหลายๆตัวอย่างหรืออาจให้ผู้เรียนนำทฤษฎี
หลักการ กฎ หรือข้อสรุปไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ที่หลากหลาย
เพื่อให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ขั้นตอนของวิธีสอนแบบนิรนัย
1. ขั้นอธิบายปัญหาเป็นขั้นของการกำหนดปัญหาและกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจที่จะ
หาคำตอบในการแก้ปัญหา
2. ขั้นอธิบายกฎหรือหลักการเพื่อการแก้ปัญหา
เป็นการนำเอาข้อสรุป กฎเกณฑ์ หลักการ
มาอธิบายให้นักเรียนได้เลือกใช้ในการแก้ปัญหา
3. ขั้นตัดสินใจ
เป็นขั้นที่นักเรียนจะเลือกกฎ หรือหลักการ หรือข้อสรุปมาใช้ในการแก้ปัญหา
4. ขั้นพิสูจน์หรือตรวจสอบ
เป็นขั้นการนำหลักฐานหรือเหตุผลมาพิสูจน์ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามหลักการนั้นๆ
5. ผู้สอนให้ผู้เรียนวิเคราะห์และอภิปรายการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น
6. ผู้สอนวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
6.
วิธีการสอนโดยการใช้อุปนัย(Induction)
เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จัดขึ้นโดยการนำตัวอย่าง
ข้อมูล ความคิด เหตุการณ์ สถานการณ์ ปรากฏการณ์ ที่มีหลักการ เเนวคิด
ที่ต้องการสอนให้แก่ผู้เรียน มาให้ผู้เรียนศึกษาวิเคราะห์ จนสามารถดึงหลักการ
เเนวคิดที่แฝงอยู่ออกมาหรือเป็นการสอนรายละเอียดปลีกย่อยไปหากฎเกณฑ์
หรือสอนจากตัวอย่างไปหากฎเกณฑ์ นั่นคือ
นักเรียนได้เรียนรู้ในรายละเอียดก่อนแล้วจึงสรุป
ขั้นตอนในการสอนแบบอุปนัย
1. ขั้นเตรียมนักเรียน
เป็นการเตรียมความรู้และแนวทางในการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียน
ด้วยการทบทวนความรู้เดิม กำหนดจุดมุ่งหมาย
และอธิบายความมุ่งหมายให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
2. ขั้นเสนอตัวอย่างหรือกรณีศึกษาต่างๆ
ให้นักเรียนพิจารณาเปรียบเทียบและสรุปกฎเกณฑ์การเสนอตัวอย่างควรเสนอหลายๆ
ตัวอย่างให้มากพอที่จะสรุปกฎเกณฑ์ได้
3. ขั้นหาองค์ประกอบรวม
คือ
การให้นักเรียนมีโอกาสพิจารณาความคล้ายคลึงกันขององค์ประกอบจากตัวอย่างเพื่อเตรียมสรุปกฎเกณฑ์
4. ขั้นสรุปข้อสังเกตต่างๆ
จากตัวอย่างเป็นกฎเกณฑ์ นิยาม หลักการ ด้วยตัวนักเรียนเอง
5. ขั้นนำข้อสรุปหรือกฎเกณฑ์ที่ได้จากการทดลองหรือสิ่งที่เข้าใจไปใช้ในสถานการณ์อื่น
7.
วิธีการสอนโดยใช้การสาธิต (Demonstration)
วิธีสอนโดยใช้การสาธิต
คือ กระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์
ที่กำหนด โดยการแสดงหรือทำสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ให้ผู้เรียนสังเกตดู
แล้วให้ผู้เรียนซักถาม อภิปราย และสรุปการเรียนรู้ที่ได้จากการสังเกตการสาธิต
ขั้นตอนสำคัญ
(ที่ขาดไม่ได้) ของการสอนโดยการใช้อุปนัย
1. ผู้สอนแสดงการสาธิต
ผู้เรียนสังเกตการสาธิต
2. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายและสรุปการเรียนรู้ที่ได้จากการสาธิต
8.
เทคนิคการใช้คำถาม
การใช้คำถามเป็นศาสตร์เเละศิลป์
คือ ต้องมีการศึกษาลักษณะของคำถามเเละครูต้องใช้ศิลปะในการถาม
ดังนั้นครูจึงต้องมีการฝึกฝนการใช้คำถาม
การใช้คำถาม
หมายถึง การใช้ประเภทของคำถามเป็นและรู้จักลักษณะการถามที่ดี
การใช้ประเภทของคำถามทั้งคำถามง่ายและคำถามยาก หรือทั้งคำถามแคบและคำถามกว้าง หรือทั้งคำถามระดับต่ำและคำถามระดับสูง
❖ กลุ่มที่ 4 ❖
เทคนิคการจัดการเรียนรู้ทีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
1.
เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตัวเอง
ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนว Constructivism จัดเป็นทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม (cognitive psychology) มีรากฐานมาจากผลงานของ Ausubel และ Piaget
ประเด็นสำคัญประการแรกของทฤษฎีการเรียนรู้ตาม Constructivism คือ ผู้เรียนเป็นผู้สร้าง (Construct) ความรู้จากความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่พบเห็นกับความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่
เดิม โดยใช้กระบวนการทางปัญญา(cognitive apparatus) ของตน
ประเด็นสำคัญประการที่สองของทฤษฎี คือ การเรียนรู้ตามแนว Constructivism
คือ โครงสร้างทางปัญญา เป็นผลของความพยายามทางความคิด ผู้เรียนสร้างเสริมความรู้ผ่านกระบวนการทางจิตวิทยาด้วยตนเอง ผู้สอน ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาของผู้เรียนได้ แต่ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาได้โดยจัดสภาพ
การณ์ที่ทำให้เกิดภาวะไม่สมดุลขึ้น
2. เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ทำงานร่วมกับคนอื่น
องค์ประกอบที่สำคัญของการเรียนรู้ด้วยการทำงานร่วมกัน
1. การเรียนรู้ต้องอาศัยหลักการพึ่งพากัน
ต้องมีทัศนคติที่ดีในการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (Positive Interdependence)
ผู้เรียนต้องมีความตระหนักว่าทุกคนต้องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน คนใดคนหนึ่งไม่สามารถทำงานบรรลุวัตถุประสงค์ได้คนเดียว
ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือ ความช่วยเหลือซึ่งกันละกันภายในกลุ่ม
2.มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกัน
(Face to Face Interaction) ผู้เรียนต้องทำงานร่วมกันให้ประสบความสำเร็จร่วมกัน
ฉะนั้นผู้เรียนควรมีการแบ่งปันข้อมูล การสนับสนุนช่วยเหลือกัน ส่งเสริมซึ่งกันและกัน
และกระตุ้นการทำงานร่วมกัน ซึ่งการทำงานร่วมกันนี้ จะเป็นการพูดคุยถกเถียงการแก้ปัญหาร่วมกัน
รวมทั้งเป็นการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เป็นการตรวจสอบความเข้าใจ
การเรียนรู้ทั้งที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
3.การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม
(social skills) โดยเฉพาะทักษะในการทำงานร่วมกัน
4.การเรียนรู้ร่วมกันควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม
(group processing) สมาชิกในกลุ่มต้องมีการอภิปรายถกเถียงกันถึงความสำเร็จของงาน
รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างกันในการทำงานให้มีประสิทธิภาพ
5.การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมีผลงานหรือผลสัมฤทธิ์ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม
ที่สามารถตรวจสอบและวัดประเมินได้ (Individual Accountability) หากผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบร่วมมือกันนอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้ทางด้านเนื้อหาสาระต่าง ๆ ได้กว้างขึ้นและลึกซึ้งขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยพัฒนาผู้เรียนทางด้านสังคมและอารมณ์มากขึ้นด้วย
รวมทั้งมีโอกาสได้ฝึกฝนพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอีกมาก
3. เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ความหมายของการเรียนรู้ที่แท้จริง
คือ ผู้เรียนต้องมีโอกาสนำความรู้ที่เรียนรู้มา
ไปใช้ในการดำเนินชีวิต
❖ กลุ่มที่ 5 ❖
เทคนิคการจัดการเรียนรู้ทีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
1.
เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตัวเอง
ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนว Constructivism จัดเป็นทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม (cognitive psychology) มีรากฐานมาจากผลงานของ Ausubel และ Piaget
ประเด็นสำคัญประการแรกของทฤษฎีการเรียนรู้ตาม Constructivism คือ ผู้เรียนเป็นผู้สร้าง (Construct) ความรู้จากความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่พบเห็นกับความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่
เดิม โดยใช้กระบวนการทางปัญญา(cognitive apparatus) ของตน
ประเด็นสำคัญประการที่สองของทฤษฎี คือ การเรียนรู้ตามแนว Constructivism
คือ โครงสร้างทางปัญญา เป็นผลของความพยายามทางความคิด ผู้เรียนสร้างเสริมความรู้ผ่านกระบวนการทางจิตวิทยาด้วยตนเอง ผู้สอน ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาของผู้เรียนได้ แต่ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาได้โดยจัดสภาพ
การณ์ที่ทำให้เกิดภาวะไม่สมดุลขึ้น
2. เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ทำงานร่วมกับคนอื่น
องค์ประกอบที่สำคัญของการเรียนรู้ด้วยการทำงานร่วมกัน
1. การเรียนรู้ต้องอาศัยหลักการพึ่งพากัน
ต้องมีทัศนคติที่ดีในการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (Positive Interdependence)
ผู้เรียนต้องมีความตระหนักว่าทุกคนต้องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน คนใดคนหนึ่งไม่สามารถทำงานบรรลุวัตถุประสงค์ได้คนเดียว
ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือ ความช่วยเหลือซึ่งกันละกันภายในกลุ่ม
2.มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกัน
(Face to Face Interaction) ผู้เรียนต้องทำงานร่วมกันให้ประสบความสำเร็จร่วมกัน
ฉะนั้นผู้เรียนควรมีการแบ่งปันข้อมูล การสนับสนุนช่วยเหลือกัน ส่งเสริมซึ่งกันและกัน
และกระตุ้นการทำงานร่วมกัน ซึ่งการทำงานร่วมกันนี้ จะเป็นการพูดคุยถกเถียงการแก้ปัญหาร่วมกัน
รวมทั้งเป็นการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เป็นการตรวจสอบความเข้าใจ
การเรียนรู้ทั้งที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
3.การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม
(social skills) โดยเฉพาะทักษะในการทำงานร่วมกัน
4.การเรียนรู้ร่วมกันควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม
(group processing) สมาชิกในกลุ่มต้องมีการอภิปรายถกเถียงกันถึงความสำเร็จของงาน
รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างกันในการทำงานให้มีประสิทธิภาพ
5.การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมีผลงานหรือผลสัมฤทธิ์ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม
ที่สามารถตรวจสอบและวัดประเมินได้ (Individual Accountability) หากผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบร่วมมือกันนอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้ทางด้านเนื้อหาสาระต่าง ๆ ได้กว้างขึ้นและลึกซึ้งขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยพัฒนาผู้เรียนทางด้านสังคมและอารมณ์มากขึ้นด้วย
รวมทั้งมีโอกาสได้ฝึกฝนพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอีกมาก
3. เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ความหมายของการเรียนรู้ที่แท้จริง
คือ ผู้เรียนต้องมีโอกาสนำความรู้ที่เรียนรู้มา
ไปใช้ในการดำเนินชีวิต
การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
1.
ความหมายของการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
พิมพันธ์ เดชะคุปต์(2550)การเรียนการสอนที่
เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คือแนวการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่และสิ่ง
ประดิษฐ์ใหม่โดยการใช้กระบวนการทางปัญญา(กระบวนการคิด) กระบวนการทางสังคม (กระบวน
การกลุ่ม)
และให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์และมีส่วนร่วมในการเรียนสามารถนำความรู้ไป
ประยุกต์ใช้ได้
โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียน
การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญต้องจัดให้สอดคล้องกับความ
สนใจ
ความสามารถและความถนัดเน้นการบูรณาการความรู้ในศาสตร์สาขาต่างๆ
ใช้หลากหลายวิธีการสอนหลากหลายแหล่งความรู้สามารถพัฒนาปัญญาอย่างหลากหลาย
คือ พหุปัญญา รวมทั้งเน้นการวัดผลอย่างหลากหลายวิธี
อาภรณ์ ใจเที่ยง ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญไว้ว่า
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
หมายถึง การจัดกิจกรรมโดยวิธีต่าง
ๆ
อย่างหลากหลายที่มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงเกิดการพัฒนาตน
และสั่งสมคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับการเป็นฯสมาชิกที่ดีของสังคมของประเทศ
ชาติต่อไป
2.
หลักการพื้นฐานของเเนวคิดที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
มีสาระที่สำคัญ
2 ประการคือ
-การจัดการโดยคำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียน
-การส่งเสริมให้ผู้เรียนได้นำเอาสิ่งที่เรียนรู้ไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
3.
องค์ประกอบและตัวบ่งชี้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
1. การบริหารจัดการ
การบริหารจัดการนับว่าเป็นองค์ประกอบที่สนับสนุนส่งเสริมการจัดการเรียนรู้
ที่สำคัญโดยเฉพาะการบริหารจัดการของมหาวิทยาลัยที่เน้นการพัฒนาทั้งระบบการ พัฒนาทั้งระบบของมหาวิทยาลัย
หมายถึงการดำเนินงานในทุกองค์ประกอบของมหาวิทยาลัยให้ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือคุณภาพของผู้เรียนตามวิสัยทัศน์ที่มหาวิทยาลัยกำหนด
ดังนั้นตัวบ่งชี้ที่แสดงถึงการพัฒนาทั้งระบบของมหาวิทยาลัยประกอบด้วย
1) การกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่มีจุดเน้นการคุณภาพบัณฑิตอย่างชัดเจน
2) การกำหนดแผนยุทธศาสตร์สอดคล้องกับเป้าหมาย
3) การกำหนดแผนการดำเนินงานในทุกองค์ประกอบของมหาวิทยาลัยสอดคล้องกับเป้าหมายและเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์
4) การจัดให้มีระบบประกันคุณภาพภายใน
5) การจัดทำรายงานประจำปีเพื่อรายงานผู้เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับแนวทางการประกันคุณภาพจากภายนอก
2. การจัดการเรียนรู้
ผู้สอนจึงต้องคำนึงถึงประเด็นต่างๆ
ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ดังนี้
(1) ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน
(2) การเน้นความต้องการของผู้เรียนเป็นหลัก
(3) การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้เรียน
(4) การจัดกิจกรรมให้น่าสนใจ
ไม่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกเบื่อหน่าย
(5) ความเมตตากรุณาต่อผู้เรียน
(6) การท้าทายให้ผู้เรียนอยากรู้
(7) การตระหนักถึงเวลาที่เหมาะสมที่ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้
(8) การสร้างบรรยากาศหรือสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการปฏิบัติจริง
(9) การสนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้
(10) การมีจุดมุ่งหมายของการสอน
(11) ความเข้าใจผู้เรียน
(12) ภูมิหลังของผู้เรียน
(13) การไม่ยึดวิธีการใดวิธีการหนึ่งเท่านั้น
(14) การเรียนการสอนที่ดีเป็นพลวัตร
(Dynamic) กล่าวคือมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทั้งในด้านการจัดกิจกรรม
การสร้างบรรยากาศ รูปแบบเนื้อหาสาระเทคนิค และ วิธีการ
(15) การสอนในสิ่งที่ไม่ไกลตัวผู้เรียนมากเกินไป
(16) การวางแผนการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
3. การเรียนรู้ของผู้เรียน
องค์ประกอบสุดท้ายที่สำคัญและนับว่าเป็นเป้าหมายของการจัดการเรียนรู้ที่
เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ องค์ประกอบด้านการเรียนรู้ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างจากเดิมที่เน้นเนื้อหาสาระ
เป็นสำคัญ และสอดคล้องกับองค์ประกอบด้านการจัดการเรียนรู้ ทั้งนี้เพราะการจัดการเรียนรู้ก็เพื่อเน้นให้มีผลต่อการเรียนรู้
ดังนั้น ตัวบ่งชี้ที่บอกถึงลักษณะการเรียนรู้ของผู้เรียนประกอบด้วย
1) การ
เรียนรู้อย่างมีความสุข
อันเนื่องมาจากการจัดการเรียนรู้ที่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
คำนึงถึงการทำงานของสมองที่ส่งผลต่อการเรียนรู้และพัฒนาการทางอารมณ์ของผู้
เรียน
ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องที่ต้องการเรียนรู้ในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ
บรรยากาศของการเอื้ออาทรและเป็นมิตรตลอดจนแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายนำผลการ
เรียนรู้ไปใช้ในชีวิตจริงได้
2) การเรียนรู้จากการได้คิดและลงมือปฏิบัติจริง
หรือกล่าวอีกลักษณะหนึ่งคือ“เรียนด้วยสมองและสองมือ” เป็นผลจากการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้คิด ไม่ว่าจะเกิดจากสถานการณ์หรือคำถามก็ตาม
และได้ลงมือปฏิบัติจริงซึ่งเป็นการฝึกทักษะที่สำคัญคือ การแก้ปัญหา ความมีเหตุผล
3) การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย
และเรียนรู้ร่วมกับบุคคลอื่น เป้าหมาย
สำคัญ
ด้านหนึ่งในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญคือ
ผู้เรียนแสวงหาความรู้ที่หลากหลายทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยทั้งที่เป็นเอกสาร
วัสดุสถานที่ สถานประกอบการบุคคลซึ่งประกอบด้วย เพื่อน
กลุ่มเพื่อนหรือผู้เป็นภูมิปัญญาของชุมชน
4) การเรียนรู้แบบองค์รวมหรือบูรณาการเป็นการเรียนรู้ที่ผสมผสานสาระความรู้
ด้านต่างๆ ได้สัดส่วนกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ความดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในทุกวิชาที่จัดให้เรียนรู้
5) การเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง
เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเข้าใจ
ของผู้สอนที่ยึดหลักการว่าทุกคนเรียนรู้ได้และเป้าหมายที่สำคัญคือพัฒนาผู้
เรียนให้มีความสามารถที่จะแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง ผู้สอนจึงควรสังเกตและศึกษาธรรมชาติของการเรียนรู้ของผู้เรียนว่าถนัดที่จะ
เรียนรู้แบบใดมากที่สุด ในขณะเดียวกันกิจกรรมการเรียนรู้จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้วางแผนการเรียน
รู้ด้วยตนเอง การสนับสนุนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ของตนเองผู้เรียนจะ
ได้รับการฝึกด้านการจัดการแล้วยังฝึกด้านสมาธิความมีวินัยในตนเอง และการรู้จักตนเองมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น