กระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน







กระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน


ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา นักการศึกษาไทยได้พยายามที่จะเสนอ แนวคิดเพื่อการพัฒนาการศึกษาและการเรียนการสอนของไทยตลอดมา แต่เริ่มได้รับการตอบรับจากสังคมเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูปการศึกษากันอย่างกว้างขวาง ทำให้ประเทศตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในที่นี้ผู้เขียนได้ประมวลแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนมานำเสนอจำนวน 7 กระบวนการ กระบวนการเหล่านี้แม้จะยังไม่ได้รับการไปทดลองใช้ และทดสอบ พิสูจน์อย่างเป็นระบบ แต่ก็เป็นกระบวนการที่ได้รับความสนใจจากวงการศึกษาไทยเป็นอย่างมาก

1.1  กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 โดย สาโรช บัวศรี
1.1.1 ขั้นกำหนดปัญหา (ขั้นทุกข์) คือ การให้ผู้เรียนระบุปัญหาที่ต้องการแก้ไข
1.1.2 ขั้นตั้งสมมติฐาน (ขั้นสมุทัย) คือ การให้ผู้เรียนวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาและตั้งสมมติฐาน
1.1.3 ขั้นทดลองและเก็บข้อมูล (ขั้นนิโรธ) คือการให้ผู้เรียนกำหนดวัตถุประสงค์และวิธีการทดลองเพื่อพิสูจน์สมมติฐานและเก็บรวบรวมข้อมูล
1.1.4 ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล (ขั้นมรรค) คือ การนำข้อมูลมาวิเคราะห์และสรุป

1.2 กระบวนการกัลยาณมิตร โดย สุมน อมรภิวัฒน์
1.2.1 หาสร้างความไว้ใจตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ได้แก่ การที่ผู้สอนวางตัวให้เป็นที่เคารพรัก เป็นที่พึ่งแก่ผู้เรียนได้ มีความรู้และฝึกหัดอบรมและปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ สามารถสื่อสาร ชี้แจงให้ศิษย์เกิดความเข้าใจ แจ่มแจ้ง มีความอดทน พร้อมที่จะรับฟังคำปรึกษา และมีความตั้งใจสอนด้วยความเมตตา ช่วยให้ผู้เรียนพ้นจากทางเสื่อม
1.2.2 การกำหนดและจับประเด็นปัญหา (ขั้นทุกข์)
1.2.3 การร่วมกันคิดวิเคราะห์เหตุของปัญหา (ขั้นสมุทัย)
1.2.4 การจัดลำดับความเข้มข้นของระดับปัญหา (ขั้นสมุทัย)
1.2.5 การกำหนดจุดหมายหรือสภาวะพ้นปัญหา (ขั้นนิโรธ)
1.2.6 การร่วมกันคิดวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการแก้ปัญหา (ขั้นนิโรธ)
1.2.7 การจัดลำดับจุดหมายของภาวะพ้นปัญหา (ขั้นนิโรธ)
1.2.8 การปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาตามแนวทางที่ถูกต้อง (ขั้นมรรค)

1.3 กระบวนการทางปัญญา โดย ประเวศ วะสี
ประเวศ วะสี (2542) นักคิดคนสำคัญของประเทศไทย ผู้มีบทบาทอย่างมากในการกระตุ้นให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาขึ้น ท่านได้เสนอกระบวนการทางปัญญา ซึ่งควรฝึกฝนให้แก่ผู้เรียนประกอบด้วยขั้นตอน 10 ขั้น ดังนี้
1. ฝึกสังเกตให้ผู้เรียนมีโอกาสสังเกตสิ่งต่างๆให้มาก ให้รู้จักสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว
2. ฝึกบันทึก ให้ผู้เรียนสังเกตสิ่งต่างๆและจดบันทึกรายละเอียดที่สังเกตเห็น
3. ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุม เมื่อผู้เรียนได้สังเกตหรือทำอะไร หรือเรียนรู้อะไรมาฝึกให้นำเสนอเรื่องนั้นต่อที่ประชุม
4. ฝึกการฟัง การฟังผู้อื่นช่วยให้ได้ความรู้มาก ผู้เรียนจึงควรได้รับการฝึกให้เป็นผู้ฟังที่ดี
5. ฝึกปุจฉา-วสัชนา ให้ผู้เรียนฝึกการถาม-ตอบ
6. ตั้งสมมติฐานและตั้งคำถาม
7. ฝึกการค้นหาคำตอบ ควรฝึกให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบจากแหล่งต่างๆ
8. ฝึกการวิจัย การวิจัยเป็นกระบวนการหาคำตอบที่ช่วยให้ผู้เรียนพบความรู้ใหม่ขึ้น
9. ฝึกเชื่อมโยงบูรณาการ บูรณาการให้เห็นความเป็นทั้งหมดและเห็นตัวเองเมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรมามากแล้ว ควรให้ผู้เรียนเชื่อมโยงความเป็นทั้งหมด และเกิดการเรียนรู้ตัวเองตามความเป็นจริงว่าสัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร อันจะทำให้เกิดมิติทางจริยธรรม
10. ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการ หลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว ควรให้ผู้เรียนฝึกเรียบเรียงความรู้ที่ได้ การเรียบเรียงจะช่วยให้ความคิดประณีตขึ้น ทำให้ต้องค้นคว้าหาหลักฐานที่มาของความรู้ให้ถี่ถ้วนแม่นยำขึ้น การเรียบเรียงทางวิชาการเป็นวิธีการสำคัญในการพัฒนาปัญญาของตนและเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้อื่นในวงกว้างออกไป

1.4 กระบวนการคิด โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช
ทวณิช (2542 : 4-5) นักคิดผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทย ซึ่งหันมาสนใจและพัฒนางานด้านการศึกษาอย่างจริงจัง ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการคิดไว้ว่า การคิดของคนเรามีหลายรูปแบบ โดยท่านได้ยกตัวอย่างมา 4 แบบ และได้อธิบายลักษณะของนักคิดทั้ง 4 แบบไว้ ซึ่งผู้เขียนจะขอนำมาประยุกต์เป็นแนวทางในการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดของผู้เรียนได้ ดังนี้
1. การคิดแบบนักวิเคราะห์ (analytical) ผู้สอนสามารถช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถในการคิดแบบนี้โดยฝึกให้ผู้เรียนแสวงหาข้อเท็จจริง ดูตรรกะ ทิศทาง หาเหตุผล และมุ่งแก้ปัญหา
2. การคิดแบบรวบยอด (conceptual) ผู้ สอนสามารถช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกให้ ผู้เรียนคิดวาดภาพในสมองสร้างความคิดใหม่จากข้อมูลที่ถูกต้องแน่นอน
3. การคิดแบบโครงสร้าง (structural thinking) การฝึกให้ผู้เรียนแยกแยะส่วนประกอบ ศึกษาส่วนประกอบ และเชื่อมโยงข้อมูล จัดเป็นโครงสร้างจะทำให้ผู้เรียนมีการคิดอย่างเป็นระบบ
4. การคิดแบบผู้นำสังคม (social thinking) การฝึกให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์พูดคุยกับผู้อื่น ทำตนเป็นผู้อำนวยความสะดวก ฝึกทักษะการทำงานร่วมกันเป็นทีม และฝึกให้คิด 3 ด้าน ที่เรียกว่า ด้านบวก ด้านลบ และด้านที่ไม่บวกไม่ลบ แต่เป็นด้านที่ไม่สนใจ

1.5 มิติการคิดและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณโดย ทิศนา  แขมมณี และคณะ
ทิศนา  แขมมณี และคณะ (2543) ได้ศึกษาค้นคว้าและจัดมิติของการคิดไว้ 6 ด้านคือ
1. มิติด้านข้อมูลหรือเนื้อหาที่ใช้ในการคิด การคิดของบุคคลจะเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 2 ส่วน คือ เนื้อหาที่ใช้ในการคิดและกระบวนการคิด คือต้องมีการคิดอะไรควบคู่ไปกับการคิดอย่างไร
2. มิติด้านคุณสมบัติที่เอื้ออำนวยต่อการคิด
3. มิติด้านทักษะการคิด
4. มิติด้านลักษณะกระบวนการคิด
5. มิติด้านควบคุมและประเมินการคิดของตน

กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
เพื่อให้ได้ความคิดที่รอบคอบสมเหตุสมผล ผ่านการพิจารณากลั่นกรอง ไตร่ตรอง ทั้งทางด้านคุณ – โทษ และคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งนั้นมาแล้ว
เกณฑ์ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผู้ที่คิดอย่างมีวิจารณญาณ จะมีความสามารถดังนี้
1. สามารถกำหนดเป้าหมาย
2. สามารถระบุประเด็นในการคิดอย่างชัดเจน
3. สามารถประมวลข้อมูล ทั้งด้านข้อเท็จจริงและความคิดเห็น
4. สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและเลือกข้อมูลที่จะใช้ในการคิดได้
5. สามารถประเมินข้อมูลได้
6. สามารถใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูลและเสนอคำตอบ
7. สามารถเลือกทางเลือก ลงความเห็นในประเด็นที่คิดได้

วิธีการหรือขั้นตอนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
1. ตั้งเป้าหมายในการคิด
2. ระบุประเด็นในการคิด
3. ประมวลข้อมูล ทั้งทางด้านข้อเท็จจริง และความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่คิดทั้งทางกว้าง ลึก และไกล
4. วิเคราะห์ จำแนกแยกแยะข้อมูล จัดหมวดหมู่ของข้อมูล
5. ประเมินข้อมูลที่จะใช้ในแง่ความถูกต้อง ความเพียงพอ และความน่าเชื่อถือ
6. ใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูลเอแสวงหาทางเลือกที่ดีที่สุด
7. เลือกทางเลือกที่เหมาะสม โดยพิจารณาถึงผลที่จะตามมา และคุณค่าหรือความหมายที่แท้จริงของสิ่งนั้น
8. ชั่งน้ำหนัก ผลได้ ผลเสีย คุณ – โทษ ในระยะสั้นและระยะยาว
9. ไตร่ตรอง ทบทวนกลับไปมาให้รอบคอบ
10. ประเมินทางเลือกและลงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คิด

1.6 กระบวนการคิด โดย เกรียงศักดิ์  เจริญวงศ์ศักดิ์
ผู้อำนวยการสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (ไอเอฟดี) และนักคิดคนสำคัญของประเทศ ได้อธิบายไว้ว่า หากเราต้องการให้ประเทศไทยพัฒนาต่อไปได้  ไม่เสียเปรียบ ไม่ถูกหลอกง่าย และสามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้ เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาให้คนไทย “คิดเป็น” คือรู้จักวิธีการคิดที่ถูกต้อง และท่านได้ให้ความหมายของการคิดใน 10 มิติดังกล่าวไว้ ซึ่งผู้เขียนขอประยุกต์มาใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนสำหรับครูเพื่อใช้ในการพัฒนาผู้เรียน ดังนี้
มิติที่ 1 ความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking)
มิติที่ 2 ความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ (analytical thinking)
มิติที่ 3 ความสามารถในการคิดเชิงสังเคราะห์ (synthesis type thinking)
มิติที่ 4 ความสามารถในการคิดเชิงเปรียบเทียบ (comparative thinking)
มิติที่ 5 ความสามารถในการคิดเชิงมโนทัศน์ (conceptual thinking)
มิติที่ 6 ความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์ (creative thinking)
มิติที่ 7 ความสามารถในการคิดเชิงประยุกต์ (applicative thinking)
มิติที่ 8 ความสามารถในการคิดเชิงกลยุทธ์ (strategic thinking)
มิติที่ 9 ความสามารถในการคิดเชิงกลยุทธ์ (integrative thinking)
มิติที่ 10 ความสามารถในการคิดเชิงอนาคต (futuristic thinking)

1.7 กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรมโดย โกวิท ประวาลพฤกษ์
นักวิชาการคนสำคัญท่านหนึ่งในวงการศึกษาได้เสนอความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาค่านิยมและจริยธรรมไว้ว่า ควรเริ่มต้นด้วยการพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมและดำเนินการสอนตามขั้นตอน ดังนี้
1. กำหนดพฤติกรรมทางจริยธรรมที่พึงปรารถนา
2. เสนอตัวอย่างพฤติกรรมในปัจจุบัน
3. ประเมินปัญหาเชิงจริยธรรม
4. แลกเปลี่ยนผลการประเมิน
5. ฝึกพฤติกรรมโดยมีผลสำเร็จ
6. เพิ่มระดับความขัดแย้ง
7. ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง
8. กระตุ้นให้ผู้เรียนยอมรับตัวเอง

1.8 กระบวนการต่างๆโดย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
โดยเสนอแนะกระบวนการที่ครุควรใช้ 12 กระบวนการด้วยกัน ดังนี้
- ทักษะกระบวนการ
- กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
- กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
- กระบวนการแก้ปัญหา
- กระวนการสร้างความตระหนัก
- กระบวนการปฏิบัติ
- กระบวนการคณิตศาสตร์
- กระบวนการเรียนภาษา
- กระวนการกลุ่ม
- กระบวนการสร้างเจตคติ
- กระบวนการสร้างค่านิยม
- กระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจ



ที่มา : พิจิตรา ธงพานิช. วิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น