นักศึกษาไทยได้ติดตามศึกษาความก้าวหน้าด้านวิชาชีพเหล่านี้
และได้นำมาเผยแพร่ในวงการศึกษาไทย ซึ่งได้รับความนิยมมากบ้าง น้อยบ้าง
แตกต่างกันไปตามความคิดเห็นและความเชื่อถือของผู้รับ ผู้เขียนจึงนำเสนอรูปแบบและกระบวนการดังกล่าว
โดยแบ่งออกเป็น 3 หมวดใหญ่ๆ คือ
1. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนักการศึกษาไทย
2. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนิสิตนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
3. กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน
1. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนักการศึกษาไทย
ผู้เขียนจะนำเสนอ 4 รูปแบบดังนี้
1.1 รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์พัฒนาโดย
สุมน อมรวิวัฒน์
1.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการ
พัฒนาโดย สุมน อมรวิวัฒน์
1.3 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมไทย
พัฒนาโดยหน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา
1.4 รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
: โมเดลซิปปา (CIPPA) พัฒนาโดย ทิศนา แขมณี
1.1 รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์พัฒนาโดย
สุมน อมรวิวัฒน์
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
สุมน อมรวิวัฒน์ (2533 : 168-170) ได้พัฒนาการเรียนการสอนนี้ขึ้นมาจากแนวคิดที่ว่า
การศึกษาที่แท้ควรสัมพันธ์สอดคล้องกับการดำเนินชีวิต
ซึ่งต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มีทั้งทุกข์ สุข สมหวัง และความผิดหวังต่างๆ
การศึกษาที่แท้ควรช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ
เหล่านั้น และสามารถเอาชนะปัญหาเหล่านั้นได้โดย
1. การเผชิญ ได้แก่
การเรียนรู้ที่จะเข้าใจภาวะที่ต้องเผชิญ
2. การผจญ คือ
การเรียนรู้วิธีต่อสู้กบปัญหาอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
3. การผสมผสาน ได้แก่ การเรียนรู้ที่จะผสมผสานวิธีการต่างๆ
เพื่อนำไปใช้ในการแก้ปัญหาให้สำเร็จ
4. การเผด็จ คือ
การลงมือแก้ปัญหาให้หมดไป
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งเน้นพัฒนาทักษะกระบวนการการแก้ปัญหาและกระบวนการต่างๆ
อาทิ กระบวนผู้การคิด กระบวนการเผชิญสถานการณ์ กระบวนการแสวงหาความรู้
กระบวนการสื่อสาร ฯลฯ รวมทั้งพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมในการแก้ปัญหาและการดำเนินชีวิต
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
1. ขั้นสร้างศรัทธา
1.1 ผู้สอนจัดบรรยากาศในชั้นเรียนให้เหมาะสมกับเนื้อหา
และเร้าใจให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของบทเรียน
1.2 ผู้สอนสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เรียน
2. ขั้นสอน
2.1 ผู้สอนหรือผู้เรียนนำเสนอสถานการณ์
มาฝึกทักษะการคิดและปฏิบัติ
2.2 ผู้เรียนฝึกทักษะการแสวงหาและรวบรวมข้อมูล
ข้อเท็จจริง ความรู้ และหลักการต่างๆ
2.3 ผู้เรียนฝึกสรุปประเด็นสำคัญ
ฝึกการประเมินค่า เพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหา
2.4 ผู้เรียนฝึกการเลือกการตัดสินใจ
ฝึกการวิเคราะห์ผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้นจากทางเลือกต่างๆ
2.5 ผู้เรียนฝึกปฏิบัติตามทางเลือกที่เลือกไว้
โดยมีผู้สอนเป็นผู้ให้คำปรึกษาและแนะนำ
3. ขั้นสรุป
3.1 ผู้เรียนแสดงออกด้วยวิธีการต่างๆ
เช่น การพูด การแสดง หรือรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์และวัย
3.2 ผู้เรียนและผู้สอนสรุปบทเรียน
3.3 ผู้สอนวัดและประเมินผลการเรียนการสอน
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะได้พัฒนาความสามารถในการเผชิญปัญหา
และสามารถคิดและตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
1.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการ
พัฒนาโดย สุมน อมรวิวัฒน์
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
สุมน อมรวิวัฒน์
ได้นำแนวการคิดมาจากหนังสือพุทธธรรมของพระราชวรมุนี
เกี่ยวกับการสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการ
มาสร้างเป็นหลักหารและขั้นตอนการสอนตามแนวพุทธวิธีขึ้น
รูปแบบการเรียนการสอนนี้พัฒนาขึ้นมาจากหลักการที่ว่า ครูเป็นบุคคลสำคัญที่สามารถจัดสภาพแวดล้อม
แรงจูงใจ และวิธีการสอนให้ศิษย์เกิดศรัทธาที่จะเรียนรู้
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาความสามารถในการคิด
(โยนิโนมนสิการ) การตัดสินใจและการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียน
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
1. ขั้นนำ การสร้างเจตคติที่ดีต่อครู
วิธีการเรียนและบทเรียน
1.1 จัดบรรยากาศในชั้นเรียนให้เหมาะสม
1.2 สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครุกับลูกศิษย์
1.3 นำเสนอสิ่งเร้าและแรงจูงใจ
1.3.1 ใช้สื่อสารเรียนการสอน หรืออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเร้าความสนใจ เช่น
นิทรรศการ การจัดทำป้ายนิเทศ
1.3.2 จัดกิจกรรมที่สนุกและน่าสนใจ
1.3.3 ศิษย์ได้ตรวจสอบความรู้ ความสามารถของตน และได้รับทราบผลทันที
2. ขั้นสอน
2.1 ครูเสนอหัวข้อเรื่องหรือประเด็นสำคัญต่างๆ
ในบทเรียน
2.2 ครูแนะนำแหล่งวิทยาการและแหล่งเรียนรู้
2.3 ครูฝึกรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง
ความรู้ และหลักการ โดยใช้ทักษะที่เป็นเครื่องมือของการเรียนรู้
เช่นทักษะทางวิทยาศาสตร์ ทักษะทางสังคม
2.4 ครูจัดกิจกรรมที่กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด
ลงมือค้นคว้า คิดวิเคราะห์และสรุปความคิด
2.5 ครูฝึกการสรุปประเด็นของข้อมูล
2.6 ศิษย์ดำเนินการเลือกและตัดสินใจ
2.7 ศิษย์ทำกิจกรรมฝึกปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ผลการเลือกและการตัดสินใจ
3. ขั้นสรุป
3.1
ครูและศิษย์รวบรวมข้อมูลจากการสังเกตการณ์ปฏิบัติทุกขั้นตอน
3.2
ครูและศิษย์อภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้
3.3 ครูและศิษย์สรุปผลการปฏิบัติ
3.4 ครูและศิษย์สรุปบทเรียน
3.5
ครูวัดและประเมินผลการเรียนการสอน
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะได้พัฒนาทักษะในการคิด
การตัดสินใจ และการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม
1.3 รูปแบบการเรียนการสอนการคิดเป็นเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมไทย
โดย หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา
(2537) ได้พัฒนารายวิชา “การคิดเป็นเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมไทย” ขึ้น
เพื่อพัฒนานักเรียนระดับมัธยมศึกษาให้สามารถคิดเป็น รู้จักและเข้าใจตนเอง
รายวิชาประกอบด้วยเนื้อหา 3 เรื่อง คือ
1. การพัฒนาความคิด (สติปัญญา)
2. การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม (สัจธรรม)
3. การพัฒนาอารมณ์ ความรู้สึก
กิจกรรมที่ใช้เป็นกิจกรรมปฏิบัติการ
4 กิจกรรม ได้แก่
1. กิจกรรมปฏิบัติการพัฒนากระบวนการคิด
2. กิจกรรมปฏิบัติการพัฒนารากฐานความคิด
3. กิจกรรมปฏิบัติการในชีวิตจริง
4. กิจกรรมปฏิบัติการประเมินผลการพัฒนาประสิทธิภาพของชีวิตและงาน
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งช่วยพัฒนากระบวนการคิด
ให้ผู้เรียนสามารถคิดเป็น คือ คิดโดยพิจารณาข้อมูล 3 ด้าน ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง
สังคมและสิ่งแวดล้อมและข้อมูลทาววิชาการ
เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตในสังคมไทยอย่างมีความสุข
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 ขั้นสืบค้นปัญหา เผชิญสถานการณ์ในวิถีการดำรงชีวิต
ผู้สอนอาจนำเสนอสถานการณ์ในวิถีการดำรงชีวิต
หรืออาจใช้สถานการณ์และปัญหาจริงที่ผู้เรียนประสบมาในชีวิตการดำรงชีวิต
ขั้นที่ 2
ขั้นรวบรวมข้อมูลและผสมผสานข้อมูล 2 ด้าน เมื่อค้นพบปัญหาแล้ว
ให้ผู้เรียนศึกษาข้อมูลความรู้ต่างๆที่เกี่ยวข้องในสถานการณ์นั้น
โดยรวบรวมข้อมูลที่ให้ครบทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านที่เกี่ยวกับตนเอง
สังคมและสิ่งแวดล้อม และด้านหลักวิชาการ
ขั้นที่ 3
ขั้นการตัดสินใจอย่างมีเป้าหมาย ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหา
โดยพิจารณาไตร่ตรองถึงผลที่จะเกิดขึ้นทั้งกับตนเอง ผู้อื่น และสังคมโดยรวม
และตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีสุด
ขั้นที่ 4 ขั้นปฏิบัติและตรวจสอบ เมื่อตัดสินใจเลือกแนวปฏิบัติได้แล้ว
ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเอง
ขั้นที่ 5
ขั้นประเมินผลและวางแผนพัฒนา
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา
(2543 ) ได้ทดลองใช้รูปแบบดังกล่าวในการสอนนักเรียนระดับมัธยมศึกษาแล้วพบว่า
ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดเป็น สามารถแก้ปัญหาต่างๆได้
มีความเข้าใจในตนเองและผู้อื่นมากขึ้น เข้าใจระบบความสัมพันธ์ในสังคม
และเกิดทักษะและเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
1.4 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้โมเดลซิปปา
(CIPPA Model) หรือรูปแบบการประสาน
5 แนวคิดหลักโดย ทิศนา แขมมณี
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
ทิศนา แขมมณี (2542 : 17) รองศาสตราจารย์
ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
ได้พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นจากประสบการณ์ที่ใช้ได้ในแนวคิดการศึกษาต่างๆ
ในการสอนเป็นเวลาประมาณ 30 ปี และพบว่าหลักการเรียนรู้จำนวนหนึ่งสามารถใช้ได้ผลดีตลอดมา
หลักดังกล่าว ได้แก่
1. หลักการสร้างความรู้
2. หลักกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ
3. หลักความพร้อมในการเรียนรู้
4. หลักการเรียนรู้กระบวนการ
5. หลักการถ่ายโอนการเรียนรู้
หลักการทั้ง 5 เป็นที่มาของแนวคิด “CIPPA” ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เอให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้สูงสุด
โดยการให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง C = construction of
knowledge และมีการปฏิสัมพันธ์ I = interaction กับบุคคลอื่นๆและสิ่งแวดล้อมรอบตัวหลายๆด้าน โดยใช้ทักษะกระบวยการ P
= process skills จำนวนมากเป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้ การให้ผู้เรียนมีการเคลื่อนไหวทางกายอย่างเหมาะสม
P = physical participation และผู้เรียนมีโอกาสนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้
A = application ซึ่งผู้สอนสามารถนำแนวคิดทั้ง 5
ดังกล่าวไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางให้มีคุณภาพได้
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้
ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างแท้จริง
โดยการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยการร่วมมือจากกลุ่ม
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ซิปปา (CIPPA) เป็นหลักการหรือแนวคิด
ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆให้แก่ผู้เรียน
การจัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลัก “CIPPA” นี้สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่หลากหลาย
ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 7 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1การทบทวนความรู้เดิม
ขั้น
นี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องจะเรียนเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมี
ความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน
ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆได้อย่างหลากหลาย
ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่
ขั้นที่ 3
การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ที่หามาได้
ขั้นที่ 4
การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม
ขั้นที่ 5 การสรุปจัดระเบียบความรู้
และวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้
ขั้นที่ 6 การปฏิบัติและการแสดงผลงาน
ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียน
สามารถอธิบาย ชี้แจง ตอบคำถามได้ดี นอกจากนั้นยังได้พัฒนาในการคิดวิเคราะห์
การคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นกลุ่ม การสื่อสารรวมทั้งเกิดการใฝ่รู้ด้วย
ที่มา : พิจิตรา ธงพานิช. วิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น